วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บุคคลที่ชื่นชอบทางด้าวิชาการ พระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


                                                                       พระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชสมภพ : 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347สวรรคต          :   1 ตุลาคม พ.ศ. 2411ผลงาน             : 1. การวางพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
                              1.1
สถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย
                       2.
ผลงานการวิจัย
                               2.1
การคำนวณหาตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์
                               2.2
การคำนวณว่าจะมีการเกิดอุปราคาได้หรือไม่
                               2.3
การคำนวณว่าการเกิดอุปราคาที่หว้ากอ จะเกิดสุริยุปราคาในลักษณะใด
               พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่สมเด็จพระศรี สุเรนทรามาตย์ ณ พระราชวังเดิม ธนบุรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ขณะประสูติสมเด็จพระราชบิดาดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อพระราชบิดาขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระบรมนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว จึงเสด็จเข้ามาประทับในพระบรมหาราชวัง
              เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาเฉลิมพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์พงศ์อิศวรกษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร  ทรงได้รับการศึกษาเยี่ยงขัติติยราชกุมารตั้งแต่เสด็จประทับ ณ พระราชวังเดิม  ทรงศึกษาวิชาสำคัญต่าง ๆ เช่นการฝึกหัดอาวุธ วิชาคชกรรม และทรงสนพระทัยในการศึกษาภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก
             ด้านพุทธศาสนา เมื่อพระชนมายุครบอุปสมบทก็ทรงผนวช และผนวชอยู่นานตลอดรัชการที่ 3 ระหว่างจำพรรษา  วัดราชาธิวาสได้ทรงศึกษาวิชาการทางพุทธศาสนา ทรงแตกฉานในรพระไตรปิฎกเพราะทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลีเป็นอย่างยิ่ง ทรงเห็นการปฏิบัติอันหย่อนยานของสงฆ์บางส่วนในสมัยนั้น จึงได้ทรงตั้งธรรมยุติกนิกายขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่างแก่สงฆ์ ที่เคร่งครัด
การปฏิบัติต่อไป
              ในด้านวิชาการทั่วไป ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ภาษาละติน ภาษาอังกฤษ และความรู้ทั่วไปที่ถือกันว่าทันสมัย รวมทั้งทรงสนพระทัย เหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นรอบบ้านเมืองของเราตลอดเวลา
              เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  เสด็จสวรรคต  บรรดาพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ เสนาบดี  และ ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งปวง ได้พร้อมกันอัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์
องค์ที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงดำรงสิริราชสมบัติเป็นเวลา 18 ปี จึงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411
              พระราชกรณียกิจต่าง ๆ นอกจากด้านการต่างประเทศ การพระศาสนา การทะนุบำรุงพัฒนาบ้านเมืองบำรุงศิลป
วัฒนธรรมแล้วยังทรงสนพระทัยด้านวิทยาการแผนใหม่อย่างยิ่ง ในสมัยของพระองค์ นับเป็นอรุณรุ่งแห่งการนับอารยะธรรม
ตะวันตก ด้วยทรงถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับปรุงกิจการบ้านเมืองให้ก้าวหน้าทันกันความเปลี่ยนแปลงในโลก ทรงสนับสนุนให้มีการศึกษา ศิลปวิทยาแผนใหม่ทั้งหลายที่มีประโยชน์ต่อการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศดังปรากฎว่ามีสิ้งริเริ่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น วิชาการต่อเรือใบ เรือกลไฟ เรือรบ การสั่งซื้อเครื่องจักรเข้ามาผลิตเหรียญกษาปณ์ การฝึกหัดทหารและได้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อย่างยุโรป
              พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับยอกย่องในพระราชสมัญญานามว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยเพราะทรงพระปรีชาสามารถ ทรงศึกษาเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น บาลี อังกฤษ ละตินเป็นพิเศษ สำหรับ
พระปรีชาสามารถและอัจฉริยะทางดาราศาสตร์ ทรงศึกษาโดยพระองค์เองจากตำราไทยและมอญ ซึ่งแปลจากตำราโบราณของฮินดู และทรงศึกษาตำราดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์จากยุโรป จนสามารถคำนวณได้ล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็ม ดวงในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 และเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศไทยที่บ้านคลองลึก ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นเป็นเหตุให้ทรงได้รับการยกย่องจากวงการวิทยาศาสตร์ของชาติมหาอำนาจในยุคนั้นเป็นอย่างสูง
              พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับทูลเกล้า ฯ ถวายพระเกียรติ ให้ทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตว์ วิทยาสมาคมแห่งสหราชอาณาจักร บรรดาประมุขของต่างประเทศในยุโรปอเมริกาต่างพากันตระหนักดีว่า ทรงสนพระทัยวิทยาศาสตร์ยิ่งนักในจำนวนเครื่องราชบรรณาการ  จึงมักมีเครื่องมือและหนังสือทางวิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วยเสมอ  เช่น พระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ได้ถวายกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งเซอร์ ยอนบาวริ่ง ได้บันทึกไว้ว่า กล้องที่นำมาถวายมีคุณภาพต่ำกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่ทรงมีอยู่แล้วเสียอีก กล่าวกันว่าในห้องส่วนพระองค์จะมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนห้องนักปราชญ์ ราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงและมั่งคั่งของโลกในสมัยนั้นทีเดียว
               ทรงเป็นนักปฏิบัติทดลองรวบรวมข้อมูล  ทรงวัดเส้นรุ้งเส้นแวงด้วยพระองค์เอง  ทรงสร้างหอดูดาวขึ้นที่เขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี  ทรงตั้งเวลามาตรฐานของไทย  โดยโปรดให้สร้างนาฬิกาขึ้นในพระบรมมหาราชวัง  และตั้งเวลามาตรฐานเพื่อให้ชาวต่างประเทศในเมืองไทยด้วย
              ทรงแก้ปัญหาบ้านเมืองบางประการ โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ คือมีเหตุผลรายละเอียดถี่ถ้วน ไม่เชื่อโชคลาง อาทิ เช่น ประกาศเรื่องป่วงใหญ่ และประกาศดาวหาว มีความว่า
              "….ที่คิดว่าโรคป่วงใหญ่ เป็นกองทัพภูตผีปีศาจนั้นไม่ถูกต้อง และคนทั้งปวงคิดจะคุ้มครองตนเองโดยการบ่น คาถา ภาวนาพิธีต่าง ๆ  และอ้อนวอนต่อเทวดาเทพบุตรเทพธิดา  และผีปีศาจต่าง ๆ นั้นขอให้ช่วยคุ้มครอง  การบรวงสรวงบูชายัญเสียกบาลด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นที่น่าเกลียดน่าชัง น่าหัวร่อ "
             
 เรื่องดาวหางขึ้นทรงปลอบใจว่าอย่าได้วิตก ทรงชี้ให้เห็นว่าเป็นเพียงปรากฎการณ์ธรรมชาติ ทรงแนะวิธีแก้ความเชื่อ
ไว้ว่าถ้ากลัวฝนแล้งก็ให้รีบทำนาเสียขณะที่มีฝนอยู่ ถ้าครอบครัวใดไม่ได้ทำนาก็ให้จัดซื้อข้าวไว้ให้พอกิน ถ้ากลัวฝีดาษก็ให้มาปลูกฝีเสียที่โรงทาน….. "ถ้าดาวหางมาบนฟ้าโกรธขึ้งหึงสาพยาบาทอาฆาตแค้นอะไรอยู่กับเจ้านาย มาแล้วจะไม่มาตรงไล่เอาเจ้านายทีเดียวไม่เห็นจริงด้วย"

          บันทึกพิเศษ การเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ
            ในทัศนะของชาวต่างประเทศต่างก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป ทั้งๆที่ยอมรับโดยสนิทใจว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะพระองค์ทรงสามารถคำนวณและประกาศ
อย่างเป็นทางการไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี ว่าจะมีสุริยุปราคาหมดดวงเห็นได้ในประเทศไทยและกำหนดสถานที่ ณ ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ริมฝั่งทะเลตรงข้ามเกาะจานไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้าด้วย สำหรับฝรั่งเศส-เดิมเลือกที่ช่องแคบมะละกา ต่อมา
ให้เปลี่ยนอีกตามคำแนะนำของกงสุลฝรั่งเศสประจำประเทศไทยว่า ควรเป็นชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งทางฝรั่งเศสเองก็พยายามเที่ยวค้นหาที่จะดูหลายตำบล ตั้งแต่เมืองชุมพรขึ้นมาจนถึงเมืองปราณบุรีก็หาไม่ได้ ในที่สุดคณะวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสก็ขอพระบรมราชานุญาตมาตั้งโรงที่จะดูสุริยุปราคาในบริเวณค่ายหลวงตำบลหว้ากอ ต่ำลงไปทางใต้พลับพลาค่ายหลวงประมาณ 18 เส้น จึงประสบความสำเร็จด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยแท้
            การเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในเดือนสิงหาคม 2411 นั้น มีสิ่งสำคัญ
ที่ควรทราบ คือ
            1.
ในห้วงเวลานั้นเป็นฤดูฝน พื้นภูมิประเทศเป็นป่าเขามีไข้ป่าชุกชุม การเดินทางก็ลำบากและต้องฟันฝ่าอันตรายมากเหตุใดจึงทรงมีพระราชอุตสาหะแรงกล้าถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะว่าสุริยุปราคาที่จะเห็นได้หมดวงในประเทศไทยนี้ยังไม่เคยมีมาแต่ก่อน จนถึงในตำราโหรของไทยว่า สุริยุปราคาไม่มีที่จะหมดดวงได้ ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณทราบเป็นพระองค์แรกในประเทศหรือในโลกก็ได้ว่า จะเห็นสุริยุปราคาหมดดวงในประเทศไทย ณ ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยได้ทรงคำนวณสอบสวนกับตำราสารัมภ์ ไทย มอญ และของอังกฤษอเมริกันแล้วเป็นที่แน่ชัดจึงได้ทรงประกาศเป็นทางการล่วงหน้าก่อนถึง 2 ปี ด้วยเหตุนี้พระองค์มิได้ทรงเกรงความยากลำบากและอันตรายใดๆที่จะเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเพื่อทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เอง
            2.
การเตรียมสถานที่และเตรียมการด้านต่างๆนับเป็นเรื่องสำคัญมาก แสดงถึงความละเอียดรอบครอบและการที่ทรงมีวิจารณญาณ เห็นการณ์ไกลเกี่ยวกับเกียรติภูมิและความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจ เพื่อความมั่นคงและอนาคตของประเทศ
ตามพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าที่สมุหพระกลาโหม ให้เป็นแม่กองไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับแรม ณ ตำบลหว้ากอ ตรงหน้าเกาะจานเข้าไปห่างจากคลองวาฬลงไปทางใต้ประมาณ 24 เส้น โดยให้จัดการจ้างคนในหัวเมืองเพชรบุรี เมืองปราณบุรี เมืองประจวบ
คีรีขันธ์ เมืองกำเนิดนพคุณ เมืองประทิว และนายงานหลายนายทำการก่อสร้างค่ายหลวงพลับพลาที่ประทับและทำเนียบรับรองแขกเมือง สถานที่บริเวณก่อสร้างอยู่ริมหาด ซึ่งเป็นป่าไม้อยู่ก่อนแล้วมาแผ้วโก่นโค่นสร้างในคราวนี้ แล้วปลูกพลับพลาและทำเนียบ
เป็นอันมากสำหรับข้าราชการต่างๆในราชสำนักและแขกเมืองชาวยุโรปพักอาศัย สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินประทับในค่ายหลวงตำหนักที่ประทับทำด้วยไม้ชั่วคราว เป็นตำหนัก 3 ชั้นทำเนียบแห่งอื่นปลูกเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 3 ฟุตทุกหลังทำเนียบเหล่านี้สร้างด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกแทบทั้งหมด มุงด้วยจากบ้างใบตาลแห้งบ้าง ทำเนียบหมู่หนึ่งก็มีรั้วทำด้วยกิ่งไม้อย่างเรียบร้อย ล้อมรอบมิดชิดมองไม่เห็น และในบริเวณหรือลานทำเนียบมีโรงที่อยู่สำหรับคนใช้ และบริวารเป็นอันมากท้องพระโรงยาวประมาณ 80 ฟุต กว้าง 80 ฟุต อยู่ด้านตะวันออกของพลับพลาที่ประทับแรม มีพระทวารสองข้าง กับทั้งมีพระทวารที่ตรงกลางทางด้านยาว  ซึ่งเป็นทางที่เข้าไปได้อีกช่วงหนึ่ง ที่ประทับยกพื้นสูงราว 3  ฟุต  อยู่ใกล้ชิดกับพระทวารทางที่จะเข้าไปข้างในพลับพลาที่ยกพื้นกับรั้วลูกกรงทั้งเสาและผนังห้องท้องพระโรงดาดด้วยผ้าสีแดง มีพระเก้าอี้ตั้งอยู่บนราชบัลลังก์มีโต๊ะเล็กอยู่ทางขวา เต็มไปด้วยหีบทองและภาชนะบรรจุพระศรีพระโอสถ พระสุธารสและสิ่งของเครื่องราชูปโภคต่างๆ ทางใน
ระหว่างพระทวาร และที่ประทับกันไว้เป็นช่องระหว่างสำหรับแขกเมืองเฝ้า  และลองข้างช่วงนี้ในระยะประมาณครึ่งทาง เป็นที่ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่เข้าเฝ้า ทำเนียบของแขกฝรั่งยาวประมาณ 140 ฟุต กว้าง 50 ฟุต เป็น 2 หลังโดด หลังใหญ่มีห้องโถงอยู่กับพื้น สามารถจุคน
ในเวลาเลี้ยงได้ 40-50 คน และสองข้างยกพื้นสูงประมาณ 3 ฟุต ทำเป็นห้องเล็กๆเป็นแถวรวม 12 ห้อง สำหรับเป็นที่พักอาศัยของพวกผู้ว่าราชการ มุมสุดเป็นสถานที่เล็กๆหลังหนึ่ง มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องแต่งตัว 2 ห้อง มีระเบียงเป็นห้องนั่งเล่น สำหรับ แขกได้สบาย เรือนตอนนี้ตีฝาและยกพื้นด้วยไม้จริง นอกนั้นทำด้วยไม้ไผ่ซีกทั้งสิ้น ด้านอาหาร มีผู้ว่าราชการ พระฤาษีสมบัติบริบูรณ์กับพ่อครัวจีน และข้าราชการรับหน้าที่จัดดูแลเรื่องอาหารเลี้ยงแขกเมือง
และแขกฝรั่งทั้งหมดที่อยู่ในกรุงเทพ และที่รับราชการในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับเชิญไปดูสุริยุปราคา และโปรพระราชทานเลี้ยงอาหารฝรั่งตลอด โดยพ่อครัวฝรั่งเศสพร้อมด้วยชาวอิตาลี 1 คน และลูกมือชาวเมืองอีกหลายคน การเลี้ยงดู ก็จัดอย่างบริบูรณ์และประณีต บรรดาของอร่อยที่จะสามารถหามาได้จากประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ กรุงเทพรวมทั้งเหล้า และเหล้าองุ่นต่างๆ น้ำแข็งก็มีบริบูรณ์ แขกฝรั่งพากันกล่าวว่า นับเป็นที่พักอาศัยอันอุดมที่สุดในป่าแห่งประเทศสยามทีเดียว
            3.
เครื่องมือและกล้องส่องดูดาว  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ซึ่งเมอร์ซิเออร์ สเตฟาน   หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสที่เข้ามาตั้งเครื่องดูสุริยุปราคาที่หว้ากอ มีความเห็นว่า กล้องของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีคุณภาพดีเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับว่าวิเศษสำหรับประเทศสยาม พระองค์ทรงสนพระทัยยิ่งในวิชาดาราศาสตร์ และพระองค์ได้
พระราชทานพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่ง  ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า   พระองค์ทรงรอบรู้วิชาวิทยาศาสตร์ลึกซึ้งเพียงใด แต่ พระองค์ ทรงถ่อมพระองค์มาก การเสด็จมาหว้ากอครั้งนี้ก็เพราะแรงผลักดันที่จะได้ทรงพิสูจน์การศึกษาแนวทางวิทยาศาสตร์ของพระองค์เป็นประการหนึ่ง
            4.
การที่ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เชิญ เซอร์ แฮรี่ ออด ผู้สำเร็จราชการมลายูของอังกฤษซึ่งประจำอยู่ ณ เมืองสิงคโปร์ และภริยามาเป็นอาคันตุกะส่วนพระองค์ และทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส เข้ามาตั้งกล้องส่องดูดาวร่วมด้วยได้ที่ตำบลหว้ากอ โดยมีเครื่องกล้องใหญ่น้อยหลายอย่างที่ทันสมัย ประมาณ 50 อันเศษ นับเป็นวิเทโศบายอันชาญฉลาดที่ได้ทรงสร้างสัมพันธ์ไมตรีกับอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป อย่างมีเกียรติและสมศักดิ์ศรียิ่งโดยเฉพาะได้ทรงเปลี่ยนแปลงปรับปรุงขนบธรรมเนียมเก่าที่ฝรั่งเห็นว่าเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ ซึ่ง เซอร์ แฮรี่ ออด   มีข้อสังเกตว่าในพระราชสำนักได้เปลี่ยนแปลงอย่างมาก  มิเคยปรากฏมาแต่ก่อนเช่น การเปิดพระราชมนเทียรพระราชทานให้แขกเมืองเข้าไปได้ไม่หวงห้าม  โปรดให้พบปะกับฝ่ายในให้ออกมารับแขกเมืองโดยเปิดเผย  ส่วนเจ้านายในราชสกุลที่ทรงพระเยาว์ก็ทรงยอมให้สมาคมกับแขกเมืองได้อย่างฉันมิตรสนิทสนม พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางของพระองค์ สมาคมกับแขกเมืองอย่าง ยอมให้อิสระเท่าเทียมกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นับเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งฝรั่งเห็นว่าเป็นประเทศหนึ่ง ในชนชาติที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เหตุการณ์ที่ฝรั่งได้มาประสบพบเห็นด้วยตนเองนี้ ทำให้ชาวฝรั่งเกิดความประทับใจ และมั่นใจว่าประเทศไทยมีทางจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีนโยบายปิดประตู และมีการสมาคม
กับชาวฝรั่งอย่างมีเกียรติ
            
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรและทรงศึกษาเครื่องมือและกล้องส่องดูดาว ตลอดจนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยของอังกฤษ และฝรั่งเศสพร้อมกันไป  นับว่าเป็นประโยชน์ในการที่จะพัฒนา  วิชาวิทยาศาสตร์ให้เจริญก้าวหน้าต่อไปด้วย
            
คณะกรรมการสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยได้เพียรพยายามที่จะหาหลักฐานต่าง ๆ เพื่อจะชี้ให้เห็นชัดเป็นข้อยุติ ว่า ณ ที่ใดที่บ้านหว้ากอ (ในปัจจุบันนี้) เป็นที่ตั้งค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับแรมที่ทรงกล้องทอดพระเนตรสุริยุปราคา
จึงได้ ออกกันไปศึกษาสภาพพื้นที่ 2-3 ครั้ง ครั้งหลังเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2524 คณะที่ออกไปสำรวจร่วมกับทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เท่าที่จำได้มี ดร. ระวี ภาวิไล ดร. ประโชติ เปล่งวิทยา ดร. ทวีศักดิ์ ปิยะกาญจน์ ดร. ขาว เหมือนวงศ์ ดร. ธีระชัย ปูรณโชติ คุณระรินทิพย์ ทรรทานนท์ ทางจังหวัดประจวบ ฯ ก็มี ข้าพเจ้าผู้ว่าราชการจังหวัด ฯ ศึกษาธิการจังหวัด ผู้ช่วยศึกษา ธิการจังหวัดนายอำเภอเมือง เป็นต้น ดังปรากฏในภาพ ทั้งทางพื้นดินและทางอากาศประกอบ ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ชัดเจนนัก เพราะยังหาหลักฐานสำคัญ ๆ ไม่พบ แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นบริเวณนั้น ๆ ซึ่งก็ใกล้เคียงมาก และทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็ได้ให้
ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในเรื่องหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องการสร้างสวนสาธารณะ หรือสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ รวมในที่เดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใน
ปลายปี 2525 นี้
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการเสด็จไปทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา ณ ตำบลหว้ากอ จึงใคร่ขอเสนอหมายกำหนดการและพระราชกรณียกิจโดยสังเขป ดังต่อไปนี้
            
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2411 เวลา 10.50 น. ตรงกับเดือน 9 แรม 4 ค่ำ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่ง อรรคราชวรเดชออกจากท่านิเวศวรดิษฐ์ เวลา 12.15 น. ถึงสมุทรปราการจอด 3 ช.ม.เศษ ถึง 16.15 น. ออกเดินทางต่อ
            
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 5 ค่ำ เวลาย่ำรุ่งถึงเขาสามร้อยยอด เมืองปราณบุรี และเดินทางต่อ โดยไปหยุดถึงเกาะหลักเวลา 10.00 น. เวลา 12.00 น. ถึงหน้าค่ายหลวง ต.หว้ากอ ทอดสมออยู่ 6 ช.ม. โปรดเกล้า ฯให้ลอย เรือไปทอดประทับแรมที่อ่าวมะนาวเหนือพลับพลาไปทางเหนือประมาณ 200 เส้นเศษ
            
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 6 ค่ำประทับแรมในเรือพระที่นั่ง ณ อ่าวมะนาว
            
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 7 ค่ำเวลาเย็น เสด็จขึ้นฝั่ง ทรงม้าพระที่นั่งจากอ่าวมะนาวไปถึง
พลับพลาค่ายหลวง ตำบลหว้ากอ เวลาย่ำค่ำประทับแรมเป็นคือแรก
           
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 8 ค่ำเวลา 9.00 น. เศษ ได้พระฤกษ์ยกเสาธงและฉัตร ชักธง
พระจอมเกล้าขึ้นที่พลับพลาค่ายหลวง รับสั่งให้ประโคมแล้วทรงจุดปืนใหญ่ด้วยพระหัตถ์ สลุตธง สลับกันกับปืนใหญ่ฝ่ายละ
21
นัด ทั้ง 2 ข้าง ปืนเรือสยามูปสดัมภ์ได้ยิง 21 นัด รวมเป็น 63 นัด เวลา 13.00 น. คณะนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส มาเฝ้าที่
พลับพลา 8 นาย พระราชทานทองคำบางสะพานทุกนาย
            
วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 9 ค่ำ นายทหารเรือรบฝรั่งเศส 12 นายขึ้นมาเฝ้าที่พลับพลา
พระราชทานทองคำบางสะพานทุกนาย
            
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 10 ค่ำเวลาเช้า กัปตันเรือรบฝั่งฝรั่งเศสทูลเชิญสมเด็จ
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถเสด็จชมเรือรบ โปรดเกล้า ฯ ให้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ตาม
เสด็จเหมือนอย่างรับกษัตริย์ในประเทศยุโรป  มีทหารทอดกริบ  แลยืนเพลา แล้วยิงปืนใหญ่รับ 21 นัด ทหารประจุปืนปัศตัน
ลุกขึ้นลากพุ่งออกมากระชากเอาแขนขาดตาย 1 คน ครั้นเวลาก่อนเที่ยง ทรงวัดแดด สอบแผนที่ที่ตั้งค่ายหลวง เวลา 17.00 น.
เศษ เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมคณะนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส ณ ที่พักจนค่ำจึงเสด็จกลับ
            
วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 11 ค่ำ เวลา 19.00 น. เศษ มิสเตอร์อาลบาสเตอร์ ผู้ว่าราชการแทน
กงศุลอังกฤษขึ้นไปเฝ้าที่พลับพลา โปรดให้ยิงปืนรับ 7 นัด
            
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 12 ค่ำ เวลา 19.00 น. เรือเจ้าพระยาเดินทางกลับ มาถึงค่ายหลวง
ทรงรับหนังสือข่าวสารต่างๆหลายฉบับ กับของที่สั่งซื้อจากลอนดอนสำหรับแจกในพระราชพิธีโสกันต์อีกมาก (เตรียมการ โสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจารุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์)
           
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 13 ค่ำ เวลา 09.00 น. เซอร์ แฮรี่ ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์มาถึง ด้วยเรือกลไฟ 3 ลำ โปรดเกล้า ฯ ให้หลวงพิเศษพจนการ (ต่อมาได้เป็นพระยาอรรถราชนาถภักดี ใน ร.5 ) เป็นข้าหลวงไป
เยี่ยมเยียน
           
จันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 แรม 14 ค่ำ เจ้าเมืองสิงคโปร์ขึ้นมาเฝ้าที่พลับพลาค่ายหลวง โปรดให้ยิง ปืนให้สลุตรับ 11 นัด พระราชทานทองคำบางสะพานตั้งแต่เจ้าเมืองสิงคโปร์และนายทหารเรือที่ขึ้นมาเฝ้าทุกคน แล้วให้ไปอยู่
ที่เรือนพักซึ่งจัดไว้ต้อนรับ
           
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 ขึ้น 1 ค่ำ เวลา 08.00 น. เจ้าพนักงานเตรียมกล้องใหญ่น้อยเครื่องทรง
ทอดพระเนตรสุริยุปราคา
                 
เวลา 10.03 น. เสด็จออกทรงกล้องแต่ท้องฟ้าเป็นเมฆฝนคลุมไปในด้านตะวันออกไม่เห็นอะไรเลย จนถึงเวลา 10.16 น.
เมฆจึงจางสว่างออกไปเห็นดวงอาทิตย์ไรๆ แลดูพอรู้ว่าจับแล้ว จึงประโคมเสด็จสรงมุรธาภิเษก
                 
เวลา 11.20 น. แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงอาทิตย์สว่างไม่มีเมฆเลย ที่อื่นแลเห็นดาวใหญ่ด้านตะวันตกและ
ดาวอื่น ๆ มากหลายดวง
                 
เวลา 11.36 น. 20 วินาที จับสิ้นดวง กินเวลา 6 นาที 45 วินาที เวลานั้นมืดเป็นเหมือนเวลากลางคืน เวลาพลบค่ำ
คนที่นั่งใกล้ๆก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน พระราชทานเงินแจกพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่น้อย ซึ่งตามเสด็จพระราช
ดำเนินออกโดยทั่วกัน
                 
เวลา 13.37 น. 45 วินาที อุปราคาคลายถึงโมกขบริสุทธิ์
                 
เวลา 17.00 น. เสด็จไปเยี่ยมเจ้าเมืองสิงคโปร์
                 
เวลา 22.00 น. โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าเมืองสิงคโปร์กับคณะนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส นายทหารเรือรบฝรั่งเศส กับชาว
ยุโรปที่รับราชการอยู่ในประเทศไทยหลายนายเข้าเฝ้าชมละคร ระบำ และฟังดนตรี ณ ท้องพระโรง
          
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 9 ขึ้น 2 ค่ำ เวลา 09.00 น. เศษ เจ้าเมืองสิงคโปร์ขอถ่ายพระรูปแต่เครื่องถ่าย ขัดข้อง ถ่ายไม่ได้ แล้วทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เซอร์ แฮรี่ ออด กับ ภริยา เข้าไปลาข้าราชการฝ่ายในโดย
พระองค์เสด็จทรงนำไป เวลา 15.15 น. เสด็จลงเรือพระที่นั่ง อรรถราชวรเดชทหารปืนใหญ่ยิงสลุตส่งเสด็จ 21 นัด ทหารที่ยิง
ปืนปัศตันลุกขึ้นลากพุ่งออกมากระชากเอาแขนขาดไปข้างหนึ่งตายในที่นั่น เรือพระที่นั่งออกจากที่จอดหน้าค่ายหลวงใช้จักร เสด็จกลับคืนกรุงเทพมหานคร
                  
ระหว่างเดินทางถึงเกาะหลัก เวลา 16.30 น. มีพระบรมราชโองการดำรัสให้เอาตัวข้าราชบริหาร 4 นาย ที่ทรงจับ
ไว้ว่าลักลอบเล่นไพ่บนดาดฟ้าชั้นบน ลงเรือโบตไปปล่อยเสียที่ฝั่ง
                 
ครั้นเวลา 17.20 น. ออกจากหน้าเกาะหลัก มาจอดทอดสมอที่หน้าเขาตะเกียบเวลาค่ำ ประทับแรมบนเรือ
                 การที่นำเหตุการณ์ตอนนี้มาลงไว้ออกจะเป็นเกร็ดเล็กน้อยมากไป แต่ก็ประสงค์ที่จะแสดงพระราชอัธยาศัยที่เข้มงวด
ต่อการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างจริงจัง อันเป็นคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษาทั้งหลาย หรือเป็นอุปนิสัยพื้นฐาน
ของผู้รักความเจริญก้าวหน้า ซึ่งถ้าผู้ใดพูดว่ารักความเจริญก้าวหน้าก็ควรจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง จึงจะเรียก
ได้ว่าพูดจริงทำจริง
           
วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 10 ขึ้น 3 ค่ำ เวลา 11.00 น. เศษ เสด็จขึ้นทอดพระเนตรหาดและบน
ฝั่งจนถึงเวลา 17.00 น. เสด็จกลับขึ้นประทับในเรือพระที่นั่ง
                  
เวลา 23.00 น. เศษ เสด็จออกจากหน้าเขาตะเกียบใช้จักรมุ่งสู่กรุงเทพมหานคร
            
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 10 ขึ้น 4 ค่ำ เวลา 08.15 น. ถึงพระสมุทรเจดีย์ เสด็จขึ้นทรงนมัสการ
เวลา 09.27 น.ออกจากพระสมุทรเจดีย์ เวลา 12.06 น.เรือพระที่นั่งเทียบท่านิเวศน์วรดิษฐ์เสด็จขึ้นทรงที่พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย
ให้ลงพระราชอาชญาหมื่นวิเศษในกรมพระแสงปืนต้น ผู้เป็นเจ้าของไพ่ 30 ทีแล้วให้เอาตัวพวกที่เล่นไพ่ไปขัดศิลาที่วังสราญรมย์ แล้วเสด็จขึ้นในพระบรมราชวัง
            
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 10 ขึ้น 5 ค่ำ เวลา 09.00 น. เศษ เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม
มีพระบรมราชโองการรับสั่งถามพระโหราธิบดีว่า สุริยุปราคาที่กรุงเทพมหานครจับกี่ส่วน ยังเหลือกี่ส่วน พระโหราธิบดีและโหร มีชื่อกราบทูลพระกรุณาไม่ถูก ทรงพระพิโรธให้ไปขัดศิลาที่วังสราญรมย์อยู่ 1 วัน แล้วให้ทำทัณฑกรรมไว้ภายใต้ห้องอาลักษณ์
ลูกประคำหอยโข่งสวมคอ กินข้าวน้ำด้วยกลากาบหมากเป็นภาชนะใส่กับข้าวอยู่ 8 วัน จึงพ้นโทษ
                  
เมื่อเสด็จขึ้น รับสั่งถามท้าวสมศักดิ์ ท้าวโสภาว่าสุริยุปราคาจับเท่าใด ยังเหลือเท่าใด ท้าวสมศักด์ ท้าวโสภา และท่านเฒ่าแก่กราบทูลว่ายังเหลือประมาณนิ้วกึ่ง จึงรับสั่งว่า เขาวัดนิ้วแต่ของผู้ชายดอกกราบทูลก็ไม่ถูก เป็นท้าวนางเสียเปล่าๆให้เฒ่าแก่ท้าวนางไปขัดศิลาที่วังสราญรมย์อยู่ 1 วัน จึงให้พ้นโทษแล้วกริ้วเจ้านายและขุนนางซึ่งอยู่รักษาพระนครว่าไม่บอกการสุริยุปราคาที่กรุงออกไปให้ทรงทราบ แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทได้ทำใบออกไปกราบบังคมทูลมอบไว้ที่หอพระอาลักษณ์ตามพระราชประสงค์
            
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2411 ตรงกับเดือน 10 ขึ้น 7 ค่ำ เวลา 07.00 น. เศษ เสด็จออกทรงปรนนิบัติพระสงฆ์ในพระพุทธนิเวศน์ รับสั่งถามพระราชาคณะด้วยเรื่องสุริยุปราคา พระราชาคณะถวายพระพรไม่ต้องกัน ทรงขัดเคือง
            
เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเกร็ดสำคัญที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่ง ที่แสดงถึงบทบาทและหน้าที่ของผู้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายในที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดตามยศถาบรรดาศักดิ์ และพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ
ที่ได้รับนิตยภัต แต่มิได้คิดฉลองพระเดชพระคุณด้วยความเอาใจใส่สนองพระราชประสงค์เท่าที่ควร นี่คือมูลเหตุที่พระองค์ทรงพิโรธเป็นอันมาก เพราะการพูดและการกระทำที่ไม่ตรงกัน คือ เรามักจะได้ยินคำกราบบังคมทูลว่า มีความจงรักภักดีแต่เวลา
ปฏิบัติไม่ปฏิบัติด้วยความจงรักภักดี ต้องคอยฟังคำสั่งอย่างนี้ ก็จะฟังเป็นว่า จงรักภักดีด้วยเพ้อๆเท่านั้น หากสามารถคิดอ่านช่วยเหลือตามบทบาทของแต่ละคนอย่างเต็มสติกำลังความสามารถและความคิดระเริ่มของตนเองบ้างแล้ว ก็จะกล่าวได้เต็มปาก
เต็มใจว่าจงรักภักดีอย่างแท้จริง น่าชื่นใจ คือทั้งพูดและปฏิบัติอย่างมีน้ำใจหรือมีความรักผิดชอบ เรื่องนี้ควรเป็นอุทธาหรณ์ที่ดี
สำหรับพวกเราทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย
            
ครั้นแล้วพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์อธิบายถึงสุริยุปราคาที่ได้เห็นที่หว้ากอเป็นอย่างไร เพื่อให้ได้ทราบกันตามจริงและมีรับสั่งให้คัดลอกแบบกันต่อไปถึงเกือบ 50 ราย นับเป็นการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องอีกวิธีหนึ่ง
            
พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับและปรากฏเด่นชัดแก่บรรดานักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ในฐานที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง สามารถทรงคำนวณสถานที่ที่จะดูด และเวลาสุริยุปราคาหมดดวงได้อย่างถูกต้องชัดเจน โดยไม่คลาดเคลื่อนเลย นับว่าพระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่มีชื่อเสียงโด่งดังปรากฏไปทั่วโลก ในนาม "คิงมงกุฎ" ซึ่งเซอร์ แฮรี่ ออด ผู้สำเร็จราชการมลายู ณ เมืองสิงคโปร์ มีความเห็นว่า พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ ที่ทรงสามารถคำนวณกำหนดวันที่จะเกิดสุริยุปราคาไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี ว่าจะเกิดในวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยที่เส้นศูนย์ของอุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ ตำบลหว้ากอ ในพระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดา ทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 29 องศา 39 ลิปดา
ทิศตะวันออก อยู่เกือบชิดเชิงเขาหลวง สูง 4,236 ฟุต อันเป็นที่บนพื้นโลก ซึ่งอุปราคาจะปรากฏหมดดวงนานที่สุดด้วย
            
การที่พระองค์ทรงเชิญนักวิทยาศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจที่รุ่งเรืองที่สุดในโลกขณะนั้นคือ อังกฤษ และฝรั่งเศสโดยเฉพาะเซอร์ แฮรี่ ออด ผู้สำเร็จราชการมลายู ณ เมืองสิงคโปร์และภริยา มาร่วมดูสุริยุปราคา ณ ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทั้งโปรดเกล้า ฯ ให้เชิญฝรั่งทุกคนที่ทำงานหรือรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานครมาร่วมด้วยเป็นพิเศษนั่นเป็นการประสมประสานงานมหกรรมทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่กับการเมืองควบคู่กันไปอย่างแนบเนียนที่สุด คือ มีเรือรบที่สำคัญของอังกฤษ 3 ลำ ชื่อ เรือรบหลวงกราสฮอปเปอร์ เรือรบหลวงซาแคลไลท์ เรือราชการต่างประเทศไปโห ของฝรั่งเศส 2 ลำ คือ
เรือรบหลวงเฟรลอง เรือรบหลวงซาร์ท ของไทยมี 5 ลำ คือ เรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช เรืออรรคเรศรัตนาสน์ เรือสยามูปสดัมภ์เรือยงยศอโยชฌิยา เรือขจรชลคดี รวมเรือรบและเรือราชการต่างประเทศสำคัญๆทั้งสิ้น 10 ลำ นับเป็นการชุมนุมกองเรือรบ
พันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น
            
สำหรับบรรดาแขกต่างประเทศจำนวนมาก นอกจากจะได้รับทราบถึงพระปรีชาสามารถในทางวิทยาศาสตร์ของพระองค์ด้วยตนเองแล้ว ก็ยังได้มาเห็นวิธีการทูตสมัยใหม่ที่มีการปฏิรูปหลายอย่างตามที่กล่าวแล้วข้างต้น เป็นโอกาสที่พระองค์ได้ทั้งประจักษ์พยานที่เป็นชาวต่างประเทศมากมาย พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเช่นกันที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ได้ทรงเพิ่มพูนสัมพันธไมตรีอันอบอุ่นประทับใจในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมในพิธีการทูตและ พิธีการในพระราชวังให้ทันสมัยขึ้น จนเป็นที่ประหลาดใจแก่ชาวต่างประเทศมาก และทั้งพระปรีชาสามารถของพระองค์
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนแรกของไทย และขององค์รัชทายาท คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ในโอกาสอันสำคัญยิ่งครั้งนั้นด้วย
            
พระราชกรณียกิจ 10 วันที่ตำบลหว้ากอของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งนั้นนับเป็นประวัติศาสตร์โลกได้เป็นอย่างดีที่สุด ตามที่ได้พรรณนามาจากหลักฐานต่างๆและจากมโนภาพที่ได้มีโอกาสออกไปสำรวจพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมการ
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย 2 ครั้ง กับที่ได้ไปราชการที่ท้องที่ตำบลหว้าโทน ในปัจจุบันซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านหว้ากอในประวัติศาสตร์หลายครั้งข้าพเจ้าในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้เกิดความซาบซึ้งดื่มด่ำในพระราชจริยานุวัตรและพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นนักค้นคว้าที่ทรงมีพระวิริยะ
อุตสาหะเป็นยอด ทรงเป็นนักศึกษาด้วยพระองค์เองเป็นเยี่ยม ทรงเป็นนักสังเกตที่ละเอียดประณีตยิ่ง ทรงเป็นนักปฏิรูปที่ก้าวหน้าตลอดเวลา ทรงเป็นผู้บุกเบิกหรือผู้นำทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นพระองค์แรก พระองค์ทรงเห็นการณ์ไกลที่สามารถ
ประสมประสานปัญหาและประโยชน์ต่างๆให้แก้ไขและเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม สมควรแล้วที่เราชาวไทยจะไดั พร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่และถวายสมัญญาแด่พระองค์ว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย พระองค์ทรงทำให้โลก สั่นสะเทือนเป็นที่อัศจรรย์ในพระราชกรณียกิจอันเป็นประวัติศาสตร์โลกที่หว้ากอ ซึ่งนำเกียรติยศเกียรติประวัติมาสู่ประเทศไทย ให้ประชาชนคนไทยมีความภาคภูมิใจชั่วกาลนาน ขอเชิญชวนพวกเราชาวไทยได้พร้อมใจกันสืบทอดเจตนารมย์อันสูงส่งด้วยเกียรติคุณทางวิทยาศาสตร์ของพระองค์ท่าน ให้เจริญุร่งเรืองมั่นคงเป็นพื้นฐานในการพัฒนาชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รัก
ของเราสืบต่อไป
            
ทางด้านรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อ 14 เมษายน 2525 อนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินับเป็นข่าวที่น่าปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเพิ่มพูนกำลังใจแก่บรรดานักวิทยาศาสตร์ไทย จักได้เห็นคุณค่าความสำคัญและเกียรติของนักวิทยาศาสตร์ไทยมากยิ่งขึ้น และต่อไปพวกเราชาวไทยก็จะได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูกตเวทิคุณแด่องค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยให้ปรากฏต่อพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 18 สิงหาคมเป็นประจำทุกปี
เหตุผลที่ทรงชื่นชอบ พระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ ต่อคนไทยแม้ในขณะนั้นจะยังมีเครื่องมือไม่พร้อมแต่พระองค์ก็ยังทรงชอบทางด้านวิทยาศาสตร์และได้คำนวณสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง เลยถูกยกย่องให้เป็นบิดาทางด้าวิทยาศาตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น